เหตุที่ตรัสชาดก
ปรารภเหตุที่ อนาถบิณฑิกเศรษฐี เล่าเรื่องเพื่อนเศรษฐีตกยากที่มาอยู่ด้วย แม้บริวารไม่ชอบ แต่ก็เคยช่วยเหลือให้ตนพ้นภัยจากโจรมาได้ จึงไม่อาจละทิ้งได้ พระพุทธเจ้าจึงนำ กาฬกัณณิชาดก มาตรัสเล่าดังนี้
เนื้อเรื่อง
ในอดีตชาติหนึ่งยังมีกุลบุตรในตระกูลดี คบหากันเป็นสหายรัก ร่วมกินร่วมเล่นกันจนเติบโตขึ้นก็ได้ไปเรียนในสำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์ด้วยกัน กุลบุตรสองสหายได้เรียนจบจากสำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์พร้อมกัน กุลบุตรสองสหายได้แยกย้ายเดินทางกลับยังบ้านเมืองของตน เพื่อนของกาฬกัณณิได้กลายเป็นเศรษฐีผู้ร่ำรวยจากการค้าขาย
กระทั่งวันหนึ่งเศรษฐีผู้นี้ก็ได้เจอกับสหายรักกาฬกัณณิ
“นายครับ ข้างนอกกบ้านมีคนชื่ออัปมงคลผู้หนึงมาหา อ้างว่าเป็นมิตรสหายของนายขอรับ”
“ให้ดิฉันไล่ไปเลยมั๊ยค่ะ”
เศรษฐี
“ให้เขาเข้ามาเถิด”
พ่อบ้าน
“นี่คือกาฬกัณณิ คนที่ว่าขอรับ”
เมื่อแรกเห็นสภาพซอมซ่อของเพื่อนรัก เศรษฐีก็ไม่ได้รังเกียจแต่อย่างใด กลับยินดีเป้นอย่างยิ่งที่ได้พบสหายเก่า
“โอ้ กาฬกัณณิเพื่อนเกลอจากกันตั้งนาน เราไม่ได้ข่าวท่านเลย เป็นอย่างไรบ้างเพื่อเกลอ”
เศรษฐีมิดีรังเกียจเพื่อนแต่อย่างใด กลับนึกเวทนาและตั้งใจอุปถัมภ์ เพราะสภาพนั้นดูสิ้นไร้ไม้ตอกแล้วจริงๆ
เพื่อนผู้ตกยาก
“สหายเอ๋ย บัดนี้เราทุกข์ทรมานเหลือเกิน ที่ชนบทนั้นแห้งแล้งเหลือเกิน ไม่ว่าจะปลูกพืชผลเท่าใด
ก็ไม่ได้ผลเลย”
เศรษฐี
“เพื่อนเอ๋ย จงมาทำงานกินอยู่กับเราเถอะ อย่าได้เร่ร่อนลำบากอีกเลย”
เศรษฐีทำการเกื้อกูลมิตรซึ่งทุกข์ยากอย่างดี ทั้งข้าวของเครื่องกินดื่ม และเสื้อผ้าที่พัก อันเป็นคุณธรรมข้อสงเคราะห์มิตรที่ดี
“ขาดเหลือสิ่งใดก็เรียกเอาได้จากพ่อบ้านของเราน่ะ อย่าได้เกรงใจ คิดว่าเป็นบ้านของเจ้าเองเถิด”
บริวารของเศรษฐี ต่างพากันอิจฉา และรังเกียจ เพื่อชื่อของ เพื่อนตกยากของเศรษฐีไม่เป็นมงคล
“ชิ มาปุ๊บก็ได้ดิบได้ดีปั๊บ น่ารังเกียจจริงๆ ฮึ เหม็นสาบคนจน”
กาฬกัณณิแม้ตกระกำลำบากมานาน เมื่อสุขสบายก็มิได้ลำพอง กลับช่วยงานในไร่สวนจนมืดค่ำ ถึงได้กินนอนเอาแรงในยามค่ำสนองคุณเศรษฐี เช่นนี้ทุกวัน
“อืม ทำงานเหนื่อยๆ แล้วมากินของอร่อยๆ หายเหนื่อยไปเลยเรา ที่อยู่ที่นอนก็สบาย สหายเรานี่ดูแลเราอย่างดีจริงๆ”
แม้ยามหมดการผลิตสินค้าเกษตรในสวน ก็มักมาช่วยเหลืองานบ้านเป็นการเบาแรงข้าทาสที่เป็นคนแก่และสตรีอยู่เสมอ
“สหายท่านเศรษฐีนี่ขยันจริงๆ เลย ดูซิทำงานตั้งแต่เช้ายังไม่หยุดเลย เราก็พลอยสบายไปด้วย”
“หึ ทำขยันไปเถอะ ตักน้ำเป็นตุ่มๆ ให้ได้อย่างนี้ทุกวันก็แล้วกัน หมั่นไส้นัก ผู้ดีตกยากนี่”
เมื่อกาฬกัณณิทำงานหนักเพียงไร เศรษฐีก็ตอบแทนความดีของสหายที่เป็นบริวารเป็นน้ำใจมิได้ดูดายเช่นกัน ด้วยเหตุนี้
พ่อบ้านก็บันดาลริษยาขึ้นมามากขึ้นเรื่อยๆ
กาฬณิณิ
“เก็บเบี้ยนี้ไว้เถอะ เราทำงานก็เพื่อจะตอบแทนที่ท่านดูแลเราอย่างดี”
เศรษฐี
“ไม่เป็นไรหรอก เรายินดี น้ำใจที่ท่านช่วยเหลือเรานะ มันมากมายนัก ของเหล่านี้จริงๆ แล้วทดแทนไม่ได้ด้วยซ้ำ รับไว้เถิดสหาย”
พ่อบ้าน
“แหม ทำเป็นเล่นตัวไม่ยอมรับ สักวันเถอะข้าจะต้องไล่เจ้าไปอยู่ที่อื่นให้ได้”
พ่อบ้านได้บันดาลกาฬกัณณิมากขึ้นทุกๆ วัน จนกระทั่งทนไม่ไหว เขารวมเอาพรรคพวกซึ่งเป็นคนเก่าแก่ พากันมาร้องขอให้เศรษฐีกระทำเนรเทศกาฬกัณณิออกไปจากบ้าน
“ได้โปรดไล่กาฬกัณณิ ออกไปเถิด เขาช่างชื่ออัปมงคล อีกทั้งเคยตกต่ำเขาอาจจะคบหาผู้ร้ายยากจนมาก็ได้นะ ท่านเศรษฐี ทั้งน่ารังเกียจ น่ากลัว นายไล่มันไปเถอะ”
“เจ้าโจรพวกนี้ คิดจะมาปล้นบ้านเศรษฐีสหายเรารึนี่ ไม่ได้การล่ะ เราต้องทำให้บ้านครึกครื้นเหมือนตอนที่ท่านเศรษฐีอยู่ ต้องจัดเวรยามถืออาวุธให้ครบมือรอไว้”
เมื่อตะวันสายเศรษฐีก็กลับมา และได้รับการรายงานเรื่องราวโดยละเอียด
“กาฬกัณณิทำคุณใหญ่หลวงมิได้ มิได้เป็นตัวโชคร้าย ดังถ้อยคำตามชื่อเลยขอรับ”
“กระผมผิดไปแล้วขอรับ ต่อไปจะไม่มองคนแต่ภายนอกแล้วขอรับ”
“พวกเธอจงเชื่อเถิด ขึ้นชื่อว่ามิตร ย่อมเกื้อกูลต่อกันเสมอ แม้มิตรนั้นจะตกต่ำในฐานะ แต่เมื่อจิตใจร่ำรวยดังนี้ มิตรอย่างเราก็ต้องอนุเคราะห์ให้ทรัพย์เป็นทุนกับเขายิ่งๆ ขึ้นไป”
“ฮึๆ เขินเลยเรา ชมกันซะขนาดนี้”
ต่อมาเมื่อถึงเวลาอันควร กาฬกัณณิก็ลงทุนทำการค้าในพาราณสี โดยมีมิตรแท้อุปการะจนสิ้นอายุจากกัน