พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงพระปรารภภิกษุผู้เบื่อหน่าย ได้ตรัสพระธรรมเทศนานี้
พระศาสดา ตรัสถามภิกษุนั้นว่า ดูก่อนภิกษุ จริงหรือที่ว่าเธอเป็นผู้เบื่อ
ภิกษุรูปนั้นจึงกราบทูลว่า จริง พระเจ้าข้า
จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ เหตุไรเล่า เธอบรรพชาในพระศาสนาอันเป็นที่นำสัตว์ออกจากทุกข์แล้ว ทำไมเธอยังเป็นผู้เบื่อหน่ายด้วยอำนาจกิเลส แม้แต่บัณฑิตในชาติก่อนได้เสวยราชสมบัติ ณ สุรุนธนนครมีบริเวณ ๑๒ โยชน์ มั่งคั่ง ถึงจะอยู่ร่วมห้องกับหญิงผู้เทียบเท่านางเทพอัปสร ตลอด ๗๐๐ ปี ก็ยังไม่ทำลาย
แล้วทรงนำเรื่องในอดีตมาเล่า ดังต่อไปนี้.
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้ากาสีเสวยราชสมบัติ ณ สุรุนธนนคร แคว้นกาสี พระ
พระราชกุมารทรงจำเริญวัย จบการศึกษาศิลปศาสตร์ทั้งหมด แต่ทรงเป็นพรหมจารีโดยกำเนิด ไม่ทรงคิดเรื่องเมถุนธรรมแม้ด้วยความฝัน พระทัยของพระองค์ไม่ได้พัวพันกับกิเลสทั้ง
พระราชาทรงพระประสงค์จะอภิเษกพระราชโอรส ทรงส่งข่าวสาสน์ไปว่า พ่อลูกชาย บัดนี้ถึงเวลาที่จะเสวยความสุขในราชสมบัติของลูกแล้ว พ่อจะให้ราชสมบัติทั้งหมดแก่ลูก พระโพธิ
ดังนั้น พระราชบิดาและพระราชมารดาจึงทรงอภิเษกพระโพธิสัตว์เจ้า กับพระน้องนางต่างพระชนนี แต่งตังพระนางอุทัยภัทราราชกุมารีให้เป็นพระอัครมเหสี ทั้งๆ ที่พระราชกุมารและพระราชกุมารีทั้งสองพระองค์นั้นไม่ได้ปรารถนาเลย แต่ทั้งสองพระองค์นั้น ก็ทรงประทับอยู่ด้วยการอยู่อย่างประ
ครั้นกาลต่อมา พระราชบิดาและพระราชมารดาล่วงลับไป พระโพธิสัตว์จึงครอบครองราชสมบัติ แม้ทั้งสองพระองค์จะประทับร่วมห้องกัน ก็ไม่ได้ทรงทำลายอินทรีย์ ทอดพระเนตรกันด้วยอำนาจความโลภเลย แต่ว่า ทรงกระทำข้อผูกพันกันไว้ว่า ในเราทั้งสองผู้ใดสิ้นพระชนม์ไปก่อน ผู้นั้นต้องมาจากที่ที่เกิดแล้วบอกว่า ฉันเกิดในสถานที่โน้น ดังนี้เท่านั้น
ต่อมาล่วงได้ ๗๐๐ ปีนับแต่เวลาได้อภิเษก พระโพธิสัตว์เจ้าก็สวรรคต ผู้อื่นที่จะได้เป็นพระราชาก็ไม่มี พระนางอุทัยภัทราพระองค์เดียวทรงสำเร็จราชการแทน หมู่อำมาตย์ร่วมกันปกครองราชสมบัติ ฝ่ายพระโพธิสัตว์เจ้านั้น ในขณะที่ทรงจุติ ทรงถึงความเป็นท้าวสักกะในดาวดึงส์พิภพ เพราะทรงมียศใหญ่ยิ่ง ไม่สามารถจะทรงอนุสรณ์ได้ตลอดสัปดาห์
ดังนั้นเป็นอันล่วงไปถึง ๗๐๐ ปี ด้วยการนับปีของมนุษย์ ท้าวเธอจึงทรงระลึกได้ ทรงพระดำริว่า เราจักทดลองพระราชธิดาอุทัยภัทราด้วยทรัพย์ แล้วเปล่งสีหนาทแสดงธรรม เปลื้องข้อ
ได้ยินว่า ครั้งนั้นเป็นเวลาที่มนุษย์มีอายุได้ ๑๐,๐๐๐ ปี.
คืนวันนั้นเอง พระราชธิดาพระองค์เดียวเท่านั้น ประทับนั่งไม่ได้ทรงไหวติง ทรงนึกถึงศีลของพระองค์อยู่ในห้องอันทรงพระสิริ อันอลงกต ณ พื้นชั้นสูงสุดแห่งพระมหาปราสาท ๗ ชั้น ในเมื่อราชบุรุษปิดประตูแล้ว วางพระองค์เรียบร้อยแล้ว
ครั้งนั้น ท้าวสักกเทวราชทรงถือเอาถาดทองคำ ๑ ใบ บรรจุเหรียญมาสกทองคำจนเต็ม ไปปรากฏพระกายในห้องพระบรรทมทีเดียว ประทับนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง.
เมื่อพระโพธิสัตว์จะตรัสปราศรัยกับพระนาง จึงตรัสว่า
ดูก่อนพระนางผู้มีพระวรกายอันงดงามหาที่ติไม่ได้ มีช่วงพระเพลากลมกลึงผึ่งผาย ทรง
ดูก่อนพระนางผู้มีพระเนตรอันงดงาม ดังเนตรกินนร หม่อมฉันขอวิงวอนพระนางเจ้า เราทั้ง ๒ ควรอยู่ร่วมกัน ตลอดคืน ๑ นี้
เราทั้งสองพึงอยู่ร่วมกันในห้องพระบรรทม อันอลงกตนี้
ลำดับนั้น พระราชธิดาได้ตรัสว่า
พระนครนี้มีคูรายรอบ มีป้อมและซุ้มประตูมั่นคง มีหมู่ทหารถือกระบี่รักษา ยากที่ใครๆ จะเข้ามาได้ ทหารนักรบหนุ่มก็ไม่ได้มีมาเลย เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านปรารถนามาพบข้าพเจ้า ด้วยเหตุอะไรหนอ.
ลำดับนั้น ท้าวสักกเทวราชจึงตรัสว่า
ดูก่อนพระนางผู้เลอโฉม หม่อมฉันเป็นเทพบุตรมาในตำหนักของพระนาง ดูก่อนพระนางผู้เจริญ เชิญพระนางชื่นชมกับหม่อมฉันเถิด หม่อมฉันจะถวายถาดทองคำ อันเต็มเปี่ยมด้วยเหรียญ
พระราชธิดาทรงสดับดังนั้นแล้ว จึงตรัสว่า
นอกจากเจ้าชายอุทัยแล้ว ข้าพเจ้าไม่พึงปรารถนาเทวดา ยักษ์ หรือมนุษย์ผู้อื่นเลย ดูก่อนเทพบุตรผู้มีอานุภาพมาก ท่านจงไปเสียเถิด อย่ากลับมาอีกเลย
ท้าวสักกะทรงสดับพระสุรสีหนาทของพระนางแล้ว ทำท่าคล้ายจะไม่อยู่ไปแล้วได้หายวับ
เมื่อจะทรงสนทนากับพระนาง จึงตรัสว่า
ความยินดีอันเป็นที่สูงสุดของผู้บริโภคกาม สัตว์ทั้งหลายประพฤติไม่สมควร เพราะเหตุแห่งความยินดี พระนางอย่าพลาดจากความยินดีในทางอันสะอาดของพระนางนั้นเลย หม่อมฉันขอถวายถาดเงิน อันเต็มไปด้วยเหรียญเงินแด่พระนาง
พระราชธิดาทรงพระดำริว่า เทพบุตรนี้ เมื่อได้การสนทนาปราศรัยคงมาบ่อยๆ คราวนี้เราจะไม่พูดกับเขาแล้ว พระนางไม่ได้ตรัสคำอะไรๆ เลย ท้าวสักกเทวราชทรงทราบความที่พระนางไม่ตรัส ก็เลยหายวับไปตรงที่นั้น นั่นเอง
วันรุ่งขึ้น พอถึงเวลานั้น ก็ถือถาดโลหะเต็มด้วยเหรียญกระษาปณ์มา ตรัสว่า พระนางผู้ทรงพระเจริญ เชิญพระนางโปรดปรนเปรอหม่อมฉันด้วยความยินดีในกามเถิด หม่อมฉันจะถวายถาดโลหะ เต็มด้วยเหรียญกระษาปณ์แด่พระนาง
วันนั้น พระราชธิดาตรัสว่า
ธรรมดาว่า ชายหมายจะให้หญิงพอใจด้วยทรัพย์ ย่อมประมูลราคาขึ้นจนให้ถึงความพอใจ ของท่านตรงกันข้าม ท่านประมูลราคาลดลง ดังที่เห็นอยู่
ท้าวสักกเทวราชได้ทรงสดับดังนั้นแล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อนพระนางราชกุมารีผู้ทรงพระเจริญ หม่อมฉันเป็นพ่อค้าผู้ฉลาด ย่อมไม่ให้ประโยชน์เสียไป ถ้าพระนางพึงจำเริญด้วยพระชนมายุ หรือด้วยพระฉวีวรรณไซร้ หม่อมฉันก็พึงนำบรรณาการมาเพิ่มแด่พระนาง แต่พระนางมีแต่จะเสื่อมไป เหตุนั้น หม่อมฉันจำต้องลดจำนวนทรัพย์ลง ดังนี้
เพราะเหตุนั้น พระนางพึงประพฤติ
ลำดับนั้น พระราชธิดาตรัสพระคาถาต่อไปว่า
เทวดาทั้งหลายไม่แก่เหมือนมนุษย์หรือไร? เส้นเอ็นในร่างกายของเทวดาเหล่านั้นไม่มี
ลำดับนั้น ท้าวสักกเทวราช เมื่อจะตรัสบอกแก่พระนาง จึงตรัสพระคาถาต่อไปว่า
เทวดาทั้งหลายไม่แก่ชรา เหมือนพวกมนุษย์ เส้นเอ็นในร่างกายของเทวดานั้นไม่มี ร่างกายอันเป็นทิพย์ของเทวดาเหล่านั้น ผุดผ่องยิ่งขึ้นทุกๆ วัน และโภคสมบัติก็ไพบูลย์ขึ้น
พระนางได้ทรงสดับพระดำรัสพรรณนาถึงเทวโลกดังนี้แล้ว เมื่อจะตรัสถามถึงทางไปเทวโลกนั้น จึงตรัสพระคาถาต่อไปว่า
หมู่ชนเป็นอันมากในโลกนี้ กลัวอะไรเล่าจึงไม่ไปเทวโลกกัน ก็หนทางไปยังเทวโลก บัณฑิต
ดูก่อนเทพบุตรผู้มีอานุภาพมาก ข้าพเจ้าขอถามท่าน บุคคลตั้งอยู่ในหนทางไหนจึงไม่กลัวปรโลก
ลำดับนั้น เมื่อท้าวสักกเทวราชจะตรัสบอกแก่พระนาง
จึงได้ตรัสพระคาถาต่อไปว่า
บุคคลผู้ตั้งวาจาและใจไว้โดยชอบ ไม่ทำบาปด้วยกาย อยู่ครองเรือนอันมีข้าวและน้ำมาก เป็น
ดูก่อนพระนางผู้ทรงพระเจริญ บุคคลใดตั้งวาจาและใจไว้โดยชอบ แม้กายก็ไม่ได้กระทำบาปต่างๆ คือมาประพฤติยึดมั่นซึ่งกุศลกรรมบถ ๑๐ เมื่ออยู่ครองเรือนมีไทยธรรมเพียงพอ ประกอบด้วยความเชื่อมั่นว่าวิบากแห่งทานมีอยู่ มีจิตอ่อนโยน ได้นามว่าผู้จำแนกแจกจ่ายเพราะการจำแนกทาน. ได้นามว่า ผู้รู้ถ้อยคำเพราะทราบถึงการให้ปัจจัยแก่เหล่าบรรพชิตผู้ท่องเที่ยวไปเพื่อโปรดหมู่สัตว์ หมายความว่า ผู้ชอบสงเคราะห์กันด้วยสังคหวัตถุ ๔ ประการ ได้นามว่าผู้มีวาจาน่าคบหาเป็นเพื่อน เพราะเป็นผู้พูดแต่วาจาที่น่ารัก ได้นามว่าผู้พูดอ่อนหวานเพราะกล่าววาจาที่เป็นประโยชน์บุคคลนั้นดำรงอยู่ในกองแห่งคุณธรรมนี้ เมื่อจะไปยังปรโลก ก็ไม่ต้องหวาดกลัวเลย
ลำดับนั้น พระราชธิดาได้ทรงสดับถ้อยคำของท้าวเธอแล้ว
เมื่อจะทรงทำการชมเชย จึงตรัสว่า
ข้าแต่เทพบุตร ท่านพร่ำสอนข้าพเจ้า เหมือนดังมารดาบิดา ข้าแต่ท่านผู้มีผิวพรรณงดงามยิ่ง ข้าพเจ้าขอถาม ท่านเป็นใครกันหนอจึงมีร่างกายสง่างามนัก
ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์จึงตรัสพระคาถาต่อไปว่า
ดูก่อนพระนางเจ้าผู้เลอโฉม ข้าพเจ้าเป็นพระเจ้าอุทัยมายังที่นี่ เพื่อต้องการจะเปลื้องข้อผูกพัน ข้าพเจ้าบอกพระนางแล้วจะขอลาไป ข้าพเจ้าพ้นจากข้อผูกพันของพระนางแล้ว
แล้วพระนางจึงตรัสต่อไปว่า
ข้าแต่พระราชสวามี ถ้าพระองค์เป็นพระเจ้าอุทัยเสด็จมา ณ ที่นี้ เพื่อต้องการจะปลดเปลื้องข้อผูกพันแล้ว ข้าแต่พระราชสวามี ขอเชิญพระองค์จงโปรดพร่ำสอนหม่อมฉัน ด้วยวิธีที่เราทั้งสองจะได้พบกันใหม่อีกเถิด เพคะ
ลำดับนั้น เมื่อพระมหาสัตว์เจ้าจะทรงพร่ำสอนพระนาง จึงได้ตรัสว่า
วัยล่วงไปรวดเร็วยิ่งนัก ขณะก็เช่นนั้นเหมือนกัน ความตั้งอยู่ยั่งยืนไม่มี สัตว์ทั้งหลายย่อมจุติไปแน่แท้ สรีระไม่ยั่งยืนย่อมเสื่อมถอย ดูก่อนพระนางอุทัยภัทรา เธออย่าประมาท จงประพฤติธรรมเถิด
พื้นแผ่นดินทั้งหมดเต็มไปด้วยทรัพย์ ถ้าจะพึงเป็นของของพระราชาแต่เพียงพระองค์เดียว ไม่มีผู้อื่นครอบครอง ถึงกระนั้น ผู้ที่ยังไม่ปราศจากความกำหนัดก็ต้องทิ้งสมบัตินั้นไป ดูก่อน
มารดา บิดา พี่ชาย น้องชาย พี่สาว น้องสาว ภริยาและสามี พร้อมทั้งทรัพย์ แม้เขาเหล่านั้น ต่างก็จะละทิ้งกันไป ดูก่อนพระนางอุทัยภัทรา เธออย่าประมาท จงประพฤติธรรมเถิด
ดูก่อนพระนางอุทัยภัทรา เธอพึงทราบว่า ร่างกายเป็นอาหารของสัตว์อื่นๆ พึงทราบว่า สุคติและทุคติในสงสาร เป็นที่พักพิงชั่วคราว ขอเธอจงอย่าประมาท จงประพฤติธรรมเถิด.
การมาจากที่ต่างๆ แล้วพบกันในที่แห่งเดียวกันของสัตว์เหล่านั้นมีเพียงเล็กน้อย สัตว์เหล่านี้อยู่ร่วมกันตลอดไป มีประมาณเล็กน้อยเท่านั้น เพราะฉะนั้น เธอจงเป็นผู้ไม่ประมาท
พระมหาสัตว์เจ้าได้ประทานโอวาทแก่พระนาง ด้วยประการฉะนี้แล.
ฝ่ายพระนางทรงเลื่อมใสในธรรมกถาของท้าวสักกะ
เมื่อจะทำการชมเชย จึงตรัสพระคาถาสุดท้ายว่า
เทพบุตร ช่างพูดดีจริง ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายน้อยนัก ทั้งลำเค็ญ ประกอบไปด้วยความทุกข์ หม่อมฉันจักสละราชสมบัติแล้วออกบวช อยู่โดยลำพังแต่ผู้เดียว
พระโพธิสัตว์เจ้าประทานพระโอวาทแด่พระนางแล้ว เสด็จไปสู่ที่อยู่ของพระ
ฝ่ายพระนางพอรุ่งขึ้น ก็ทรงมอบราชสมบัติให้พวกอำมาตย์รับไว้ ทรงผนวชเป็นฤาษิณี ในพระราชอุทยานอันน่ารื่นรมย์ ภายในพระนครนั่นเอง ทรงประพฤติธรรม ในที่สุดพระชนมายุ ก็บังเกิดเป็นบาทบริจาริกาของพระโพธิสัตว์เจ้าในดาวดึงส์พิภพ