พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภอสทิสทาน จึงได้ตรัสเรื่องนี้ ในวันที่ ๒ จากวันที่พระเจ้าโกศลถวายอสทิสทานแล้ว ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า อาวุโสทั้งหลาย พระเจ้าโกศลทรงฉลาดเลือกเนื้อนาบุญอันประเสริฐ ถวายมหาทานแด่อริยสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข
พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร? เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว
ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การเลือกถวายทานในเนื้อนาบุญอันสูงยิ่งของพระเจ้าโกศล ไม่น่าอัศจรรย์ โบราณกบัณฑิตก็ได้เลือกเฟ้นแล้ว จึงได้ถวายมหาทานเหมือนกัน ดังนี้แล้ว
ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้
ในอดีตกาล พระเจ้าเภรุวมหาราช ครองราชสมบัติในเภรุวนคร สีวิรัฐ ทรงบำเพ็ญทศ
พระองค์มีอัครมเหสีพระนามว่า สมุททวิชยา เป็นบัณฑิต สมบูรณ์ด้วยญาณ
วันหนึ่ง พระเจ้าเภรุวมหาราชเสด็จทอดพระเนตรโรงทาน ทรงพระดำริว่า ปฏิคาหก
ลำดับนั้น พระเทวีได้ทูลพระราชาว่า ข้าแต่พระองค์ ขอพระองค์อย่าทรงวิตกเลย เราจะส่งดอกไม้ไปนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ด้วยกำลังทานที่จะพึงถวาย กำลังศีล และกำลังความสัตย์ของเราทั้งหลาย ครั้นพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายมาถึงแล้ว จึงจักถวายทานที่สมบูรณ์ด้วยบริขารทุกอย่าง พระราชาทรงรับสั่งว่า ดีแล้ว ดังนี้แล้วรับสั่งให้ตีกลอง ประกาศว่า ชาวพระนครทั้งสิ้นจงสมาทานศีล
ส่วนพระองค์เองพร้อมด้วยราชบริพาร ก็ทรงอธิษฐานองค์แห่งอุโบสถ บำเพ็ญมหาทาน แล้วให้ราชบุรุษถือกระเช้าทอง ใส่ดอกมะลิเต็ม เสด็จลงจากปราสาท ประทับที่พระลานหลวง ทรงกราบเบญจางคประดิษฐ์เหนือพื้นดิน แล้วผินพระพักตร์ไปทางทิศปราจีน ถวายนมัสการ แล้วประกาศว่า ข้าพเจ้าขอนมัสการ พระอรหันต์ทั้งหลายในทิศปราจีน ถ้าคุณความดีอะไรๆ ของข้าพเจ้ามีอยู่ไซร้ ขอท่านทั้งหลายจงอนุเคราะห์พวกข้าพเจ้า โปรดมารับภิกษาหารของข้าพเจ้าทั้งหลายเถิด ประกาศดังนี้แล้ว ทรงซัดดอกมะลิไป ๗ กำมือ
ในวันรุ่งขึ้น ไม่มีพระปัจเจกพุทธเจ้ามา เพราะในทิศปราจีนไม่มีพระปัจเจก
ในวันที่ ๒ ทรงนมัสการไปทางทิศทักษิณ ก็ไม่มีพระปัจเจกพุทธเจ้ามา
วันที่ ๓ ทรงนมัสการไปทางทิศปัจฉิม ก็ไม่มีพระปัจเจกพุทธเจ้ามา
วันที่ ๔ ทรงนมัสการไปทางทิศอุดร ก็แหละครั้นทรงนมัสการแล้ว ทรงซัดดอกมะลิไป ๗ กำมือ อธิษฐานว่า ขอพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายที่อยู่ในหิมวันตประเทศ ด้านทิศอุดร จงมารับภัตตาหารของข้าพเจ้า ดอกมะลิได้ลอยไปตกลงเหนือพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ๕๐๐ องค์ ที่
พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นพิจารณาดู ก็รู้ว่าพระราชานิมนต์ วันรุ่งขึ้น จึงเรียกพระปัจเจกพุทธเจ้ามา ๗ องค์ แล้วกล่าวว่า แน่ะท่านผู้เช่นกับด้วยเรา พระราชานิมนต์ท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงสงเคราะห์พระราชาเถิด พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นเหาะมาลงที่ประตูพระราชวัง
พระเจ้าเภรุวมหาราชทอดพระเนตรเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น แล้วทรงโสมนัส นมัสการ
ลำดับนั้น พระปัจเจกพุทธเจ้าผู้เป็นใหญ่ในหมู่ เมื่อจะอนุโมทนาแด่พระราชาและพระเทวี จึงได้กล่าวว่า
เมื่อเรือนถูกไฟไหม้ บุคคลผู้เป็นเจ้าของขนเอาสิ่งของใดออกได้ สิ่งของอันนั้นย่อมเป็นประโยชน์แก่เจ้าของนั้น แต่ของที่ถูกไฟไหม้ย่อมไม่เป็นประโยชน์แก่เขา
โลกถูกชราและมรณะ เผาแล้วอย่างนี้ บุคคลพึงนำออกเสียด้วยการให้ทาน ทานที่ให้แล้วจะน้อยก็ตาม มากก็ตาม ชื่อว่าเป็นอันนำออกดีแล้ว
พระสังฆเถระ ครั้นอนุโมทนาอย่างนี้แล้ว ได้ให้โอวาทแด่พระราชา ว่า มหาบพิตร พระองค์อย่าทรงประมาท แล้วเหาะขึ้นอากาศ ทำช่อฟ้าปราสาทให้แยกเป็นสองช่องไปลง ณ เงื้อม
เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้เป็นใหญ่ในหมู่ ไปอย่างนี้แล้ว พระปัจเจกพุทธเจ้าที่ยังคงเหลืออยู่ ๖ องค์ ได้อนุโมทนาด้วยว่า
คนใดให้ทานแก่ท่านผู้มีธรรมอันได้แล้ว ผู้บรรลุธรรมด้วยความเพียรและความหมั่น คนนั้นล่วงเลยเวตรณีนรก ของพระยายมไปได้ แล้วจะเข้าถึงทิพยสถาน
ท่านผู้รู้กล่าวทานกับการรบว่ามีสภาพเสมอกัน นักรบแม้จะมีน้อยก็ชนะคนมากได้ เจตนา
การเลือกทักขิณาทานและพระทักขิไณยบุคคล แล้วจึงให้ทาน พระสุคตเจ้าทรงสรรเสริญ ทานที่บุคคลถวายในพระทักขิไณยบุคคล มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ซึ่งมีอยู่ในสัตวโลกนี้ ย่อมมีผลมาก เหมือนพืชที่หว่านลงในนาดี ฉะนั้น
บุคคลใดไม่เบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย เที่ยวไปอยู่ ไม่ทำบาป เพราะกลัวคนอื่นจะติเตียน บัณฑิต
บุคคลย่อมเกิดในตระกูลกษัตริย์ เพราะพรหมจรรย์อย่างต่ำ เกิดในเทวโลก เพราะ
ทาน ท่านผู้รู้สรรเสริญโดยส่วนมาก ก็จริง แต่ว่าบทแห่งธรรมแลประเสริฐกว่าทาน เพราะว่า สัตบุรุษทั้งหลายในครั้งก่อนหรือว่าก่อนกว่านั้นอีก ท่านมีปัญญาเจริญสมถวิปัสสนาแล้ว ได้บรรลุพระนิพพานทีเดียว
ครั้นกล่าวอนุโมทนาอย่างนี้แล้ว ก็ได้เหาะไปเหมือนอย่างนั้นแหละ พร้อมกับบริขารทั้งหลาย
ท่านผู้รู้กล่าวว่าเหมือนกัน อธิบายว่า คนกลัวความสิ้นเปลือง ย่อมไม่มีการให้ คนขลาดต่อภัย ย่อมไม่มีการยุทธนา คือ นักรบสละความอาลัยในชีวิตได้ ก็อาจเข้ารบ ทายกสละความอาลัยในโภคะเสียได้ ก็อาจบริจาคได้ ด้วยเหตุนั้นแหละ ท่านผู้รู้จึงกล่าว การให้และการรบทั้งสองอย่างนั้น ว่ามีสภาพเสมอกัน ความว่า นักรบถึงมีพวกน้อยแต่พร้อมใจกันสละชีวิต ก็อาจรบคนพวกมาก เอาชัยชนะได้ ฉันใด เจตนาคิดบริจาคถึงจะมีน้อย ก็ย่อมชนะหมู่กิเลสพวกมาก มีมัจฉริยจิต และโลภะเป็นต้นได้ ฉันนั้น
พระปัจเจกพุทธเจ้า ๗ พระองค์พรรณนาอมตมหานิพพานแด่พระราชาด้วยอนุโมทนาคาถา
แม้พระราชา พร้อมด้วยพระอัครมเหสี ก็ได้ถวายทานจนตลอดพระชนมายุ ครั้นเคลื่อนจากอัตภาพนั้นแล้ว ก็ได้เสด็จไปสู่สวรรค์