ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพระพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในสกุลพราหมณ์ เจริญวัยแล้ว เรียนศิลปะทุกอย่างในเมืองตักกสิลาเสร็จแล้ว กลับไปเมืองพาราณสี แสดงให้พระราชา ทอดพระเนตร พระราชาได้ประทานตำแหน่งปุโรหิตแก่พระโพธิสัตว์นั้น พระโพธิสัตว์นั้นรักษาศีลห้า ฝ่ายพระ ราชาก็ทรงเคารพพระโพธิสัตว์นั้นทรงเห็นว่าเป็นผู้มีศีล พระโพธิสัตว์นั้นคิดว่า พระราชาทรงเคารพเพราะเห็นว่าเราเป็นผู้มีศีล หรือทรงเห็นว่าเป็นผู้ประกอบการทรงจำสุตะไว้ได้ เรื่องทั้งปวงเหมือนเรื่องปัจจุบันนั่นแล แต่ในที่นี้ พราหมณ์นั้นกล่าวว่า บัดนี้เรารู้แล้วว่า ศีลเป็นใหญ่สำคัญว่าสุตะ จึงได้กล่าวคาถา ๕ คาถานี้ว่า :
[๗๕๘] ข้าพระองค์มีความสงสัยว่า ศีลประเสริฐ หรือสุตะประเสริฐ ศีลนี่แหละ
ประเสริฐกว่าสุตะ ข้าพระองค์ไม่มีความสงสัยแล้ว.
[๗๕๙] ชาติและวรรณะเป็นของเปล่า ได้สดับมาว่า ศีลเท่านั้นประเสริฐที่สุด
บุคคลผู้ไม่ประกอบด้วยศีล ย่อมไม่ได้ประโยชน์เพราะสุตะ.
[๗๖๐] กษัตริย์และแพศย์ผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรม ไม่อาศัยธรรม ชนทั้งสองนั้นละ
โลกนี้ไปแล้ว ย่อมเข้าถึงทุคติ.
[๗๖๑] กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร คนจัณฑาล และคนเทหยากเยื่อ
ประพฤติธรรมในธรรมวินัยนี้แล้ว ย่อมเป็นผู้เสมอกันในไตรทิพย์.
[๗๖๒] เวท ชาติ แม้พวกพ้อง ก็ไม่สามารถจะให้อิสริยยศหรือความสุขใน
ภพหน้าได้ ส่วนศีลของตนเองที่บริสุทธิ์ดีแล้ว ย่อมนำความสุขใน
ภพหน้ามาให้ได้.
พระมหาสัตว์กล่าวคุณของศีลอย่างนี้แล้ว จึงขอให้พระราชา ทรงอนุญาตการบวช แล้วเข้าไปยังหิมพานต์ประเทศในวันนั้นเอง บวชเป็นฤๅษี ทำอภิญญาและสมาบัติให้บังเกิดแล้ว ได้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า.
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้วจึงทรงประชุมชาดกว่า พราหมณ์ผู้ทดลองศีลแล้วบวชเป็นฤๅษีในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล
ที่มา : http://group.wunjun.com/leavesofeden/topic/136963-3325